top of page
Search

ประจำเดือนไม่มา ท้องไหม?

การที่ประจำเดือนไม่มา ถือเป็นหนึ่งในสัญญาณที่ทำให้ผู้หญิงหลายคนกังวลใจ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์ แต่ก็ไม่ใช่เสมอไป บทความนี้จะมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับสาเหตุที่ประจำเดือนไม่มา



ประจำเดือนไม่มา เกิดจากอะไรได้บ้าง?

การที่ประจำเดือนมาช้ากว่าปกติ หรือขาดไป อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ได้มีแค่การตั้งครรภ์เท่านั้น สาเหตุอื่นๆ ที่พบบ่อย ได้แก่:

  • การตั้งครรภ์: สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดเมื่อประจำเดือนไม่มา หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ควรตรวจการตั้งครรภ์เพื่อความแน่ใจ

  • ความเครียด: ความเครียดสะสมสามารถส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนในร่างกาย และรบกวนรอบเดือนได้

  • น้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลง: การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งเพิ่มขึ้นหรือลดลงมากเกินไป อาจส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนและประจำเดือน

  • การออกกำลังกายมากเกินไป: การออกกำลังกายอย่างหนัก อาจทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะเครียด และส่งผลต่อรอบเดือนได้

  • ภาวะถุงน้ำในรังไข่ (PCOS): เป็นภาวะที่ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล ทำให้เกิดความผิดปกติของรอบเดือน

  • การใช้ยาบางชนิด: ยาคุมกำเนิดบางชนิด หรือยาอื่นๆ อาจส่งผลต่อรอบเดือนได้

  • วัยใกล้หมดประจำเดือน: เมื่อเข้าใกล้วัยหมดประจำเดือน รอบเดือนจะเริ่มไม่สม่ำเสมอ และค่อยๆ หายไปในที่สุด

  • โรคประจำตัว: โรคบางชนิด เช่น โรคไทรอยด์ หรือโรคเบาหวาน อาจส่งผลต่อรอบเดือนได้


ประจำเดือนไม่มา กี่วันถึงจะเรียกว่าผิดปกติ?

โดยทั่วไป รอบเดือนของผู้หญิงจะอยู่ที่ 21-35 วัน หากประจำเดือนมาช้ากว่า 35 วัน หรือขาดไปเกิน 1-2 รอบเดือน ถือว่าผิดปกติ ควรสังเกตอาการอื่นๆ ร่วมด้วย


จะรู้ได้อย่างไรว่าท้องหรือไม่ท้อง?

หากประจำเดือนไม่มา และสงสัยว่าอาจตั้งครรภ์ สามารถตรวจสอบได้ด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้:

  • การทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตัวเอง: สามารถหาซื้อชุดทดสอบการตั้งครรภ์ได้ตามร้านขายยาทั่วไป โดยจะตรวจหาฮอร์โมน hCG ในปัสสาวะ

  • การตรวจเลือด: เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุดในการตรวจสอบการตั้งครรภ์ โดยจะตรวจหาฮอร์โมน hCG ในเลือด

  • การอัลตราซาวนด์: หากผลทดสอบการตั้งครรภ์เป็นบวก แพทย์อาจแนะนำให้ทำการอัลตราซาวนด์เพื่อยืนยันการตั้งครรภ์ และตรวจสอบสุขภาพของทารกในครรภ์


ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการตรวจการตั้งครรภ์
  • หลังจากประจำเดือนขาด: นี่เป็นช่วงเวลาที่แนะนำที่สุดสำหรับการตรวจด้วยตัวเอง โดยทั่วไปแล้ว ควรตรวจหลังจากวันที่คาดว่าประจำเดือนจะมาวันแรก หากประจำเดือนมาช้ากว่าปกติ 1-2 วัน ก็สามารถตรวจได้ แต่เพื่อความแม่นยำ ควรรออย่างน้อย 7 วันหลังจากวันที่คาดว่าประจำเดือนจะมา

  • หลังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน: หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน และกังวลเรื่องการตั้งครรภ์ สามารถตรวจได้เร็วที่สุดประมาณ 7-12 วันหลังการปฏิสนธิ (ซึ่งอาจตรงกับช่วงสัปดาห์ที่ 3 นับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย) แต่การตรวจเร็วเกินไป อาจทำให้ผลตรวจคลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากระดับฮอร์โมน hCG อาจยังไม่สูงพอที่จะตรวจพบ

  • หากต้องการทราบผลก่อนประจำเดือนขาด: การตรวจเลือดที่โรงพยาบาลหรือคลินิก สามารถตรวจพบการตั้งครรภ์ได้เร็วกว่าการตรวจด้วยตัวเอง โดยสามารถตรวจพบฮอร์โมน hCG ได้ตั้งแต่ 7-12 วันหลังการปฏิสนธิ


สรุป

การที่ประจำเดือนไม่มา อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งการตั้งครรภ์ และสาเหตุอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ หากมีความกังวล ควรสังเกตอาการอื่นๆ ร่วมด้วย และหากมีข้อสงสัย หรืออาการผิดปกติ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม


สอบุถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ พักใจคลินิก

 
 
 

Comments


bottom of page